บ้านที่ต้องเผชิญกับฝนบ่อยๆ มักเจอปัญหา คราบน้ำฝน คราบตะไคร่ เชื้อรา และรอยด่าง ที่ทำให้ผนังดูเก่าโทรมเร็ว การเลือกใช้ สีบ้านกันคราบฝน และทาด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยยืดอายุผนังและคงความสวยงามได้ยาวนานค่ะ
ปัญหาที่เกิดจากน้ำฝนต่อผนังบ้าน
1. คราบน้ำฝนและคราบด่าง – เกิดจากน้ำฝนที่มีฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะบนผนัง
2. เชื้อราและตะไคร่น้ำ – ความชื้นจากฝนเป็นแหล่งเพาะเชื้อราและตะไคร่
3. ฟิล์มสีเสื่อมสภาพ – น้ำฝนและแสงแดดทำให้สีหลุดร่อนและซีดจางเร็ว
เทคนิคทาสีบ้านกันน้ำฝน
1. ทำความสะอาดและซ่อมพื้นผิว
• ขัดลอกสีเก่าที่เสื่อมสภาพ และซ่อมรอยแตกร้าวด้วย ทีโอเอ อะคริลิก ฟิลเลอร์ TOA Acrylic Filler หรือ เบเยอร์ อะคริลิก ซีลแลนท์ เอฟ-001 Beger Acrylic Sealant F-001
2. ใช้รองพื้นกันด่างและป้องกันเชื้อรา
• ช่วยให้สีเกาะแน่นและลดปัญหาคราบด่าง เช่น โฟร์ซีซั่นส์ ซุปเปอร์ ไพรเมอร์ TOA 4 Seasons Primer หรือ เบเยอร์ โปร ควิก ไพรเมอร์ บี-1900 Beger Pro Quick Primer B-1900
3. เลือกใช้สีผนังทนฝนคุณภาพสูง
• TOA SuperShield ซุปเปอร์ชิลด์ สีน้ำอะคริลิก – กันน้ำ 100% ป้องกันรังสียูวี คราบฝน และเชื้อรา
• BegerCool Superguard เบเยอร์คูล ซูเปอร์การ์ด – ฟิล์มสีไม่ทิ้งคราบน้ำฝน กันร้อน สะท้อนความ UV ลดอุณหภูมิผนัง
• นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ Nippon Weatherbond – ทนฝน ทนแดด และมีคุณสมบัติป้องกันคราบด่าง
• โจตาชิลด์ อัลตร้า คลีน Jotun JotaShield Ultra Clean – ลดการจับฝุ่น ป้องกันคราบสกปรก ทำความสะอาดตัวเองได้
4. ทาสีให้ได้ความหนาฟิล์มตามมาตรฐาน
• ทาสีรองพื้น 1 เที่ยว / สีทับหน้า 2 เที่ยว เพื่อให้ได้ฟิล์มสีหนาและป้องกันน้ำซึมได้เต็มที่
5. ดูแลผนังหลังทาสีเสร็จ
• ตรวจสอบและซ่อมรอยรั่ว รอยแตกร้าวเป็นระยะ เพื่อป้องกันน้ำซึมใต้ชั้นสี
การป้องกันผนังบ้านจากคราบฝนและความชื้น เริ่มจากการเตรียมพื้นผิวที่ดี ใช้รองพื้นกันด่าง และเลือกสีบ้านกันคราบฝน ที่มีคุณสมบัติ ทาสีบ้านกันน้ำฝน และเป็น สีผนังทนฝน เช่น TOA SuperShield, Beger Cool Superguard, หรือ Nippon Weatherbond Advance พร้อมทาตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง จะช่วยให้บ้านคงความสวยนานและทนต่อสภาพอากาศได้หลายปีค่ะ